Allow Things To Happen The Way They Are มื้ออาหารที่เชื่อว่าทุกสิ่งมีความสมบูรณ์แบบด้วยตัวของมันเอง
หากใครเคยสัญจรไปมาในซอยสุขุมวิท 49 เราเชื่อว่าจะต้องสะดุดตากับตัวอาคารที่ดูโปร่งใสบริเวณต้นซอยกันบ้างไม่น้อย ซึ่งอาคารที่ดูโดดเด่นจากบริเวณรอบข้างแห่งนี้มีชื่อว่า “Karmakamet Conveyance” ร้านอาหาร Fine Dining ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปและไอเดียที่น่าสนใจไม่ซ้ำใคร รังสรรค์โดย “เชฟส้ม” เชฟชื่อดังมากประสบการณ์ และ แบรนด์เครื่องหอมสุดเจ๋งของไทยอย่าง “Karmakamet”
เมื่อเข้ามาในชั้นแรกเลยเราก็จะเจอกับชอปของ Karmakamat แบรนด์เครื่องหอมสัญชาติไทยแท้ของ “คุณณัทธร” ผู้ซึ่งหลงใหลในศิลปะแห่งการทำเครื่องหอม จึงริเริ่มสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา ซึ่งเริ่มจากแบรนด์เล็กๆ แต่ด้วยคุณภาพและความใส่ใจในทุกๆรายละเอียด ทำให้ Karmakamet เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในระยะเวลาไม่นานทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ จึงได้ขยายกิจการและจับทางธุรกิจในด้านอื่นๆรวมถึงร้านอาหาร “Karmakamet Conveyance” ที่ได้ “เชฟส้ม” เข้ามาเป็นหุ้นส่วน และผู้ร่วมรังสรรค์ร้านอาหารที่โดดเด่นและกำลังมาแรงแห่งนี้
โดยตัวร้านจะตั้งอยู่บนชั้นสอง เมื่อเดินเข้ามาภายในร้านแล้ว ภาพรวมที่เราเห็นตอนแรกคือร้านจะเน้นการตกแต่งโดยใช้สีขาวสะอาดตาเป็นหลัก ตัดกับไม้และบล็อกแก้วใส ตอนที่เรามองครั้งแรกทุกอย่างดูเนี้ยบเป็นระเบียบไปหมดสมกับความเป็น Fine Dining เหมือนที่ใครๆมีภาพไว้ในหัว แต่พอเราสังเกตดูดีๆกลับพบว่ามีหลายจุดในร้านเลยที่ดูไม่เสร็จดี เงยหน้าขึ้นไปเราก็เห็นกับเพดานที่ฉาบไว้ไม่หมดเผยให้เห็นวัสดุบางส่วน ตรงระเบียงด้านนอกกระจกก็เผยให้เห็นวัสดุบางอย่างที่โผล่วับๆแวมๆ ทำให้เรามีความเอ๊ะว่าผู้รับเหมาทิ้งงานหรืออย่างไร แต่พอมาได้รู้ว่าจริงๆแล้วนี่คือความตั้งใจของทางร้าน ได้ฟังที่ไปที่มาแล้วถึงกับว้าวมากขึ้นไปอีก
แม้กระทั่งจาน ช้อน ส้อม ของใช้ต่างๆบนโต๊ะก็ดูขาดๆเกินๆ ไม่เหมือนกับความเป็นข้าวของเครื่องใช้ในอุดมคติของเราว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางร้านตั้งใจจะสื่อออกมาให้เรารับรู้ว่า “Imperfection is Perfection” ทุกความไม่สมบูรณ์แบบมันมีความสมบูรณ์แบบและสวยงามในตัวของมันอยู่เสมอ แต่ละอย่างไม่ควรมีบรรทัดฐานมาวัดว่าจะต้องเป็นแบบนี้นะ เหมือนคนเราที่ทุกคนล้วนมีความงามในแบบของตัวเองไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตาม รวมถึงอาหารแต่ล่ะจานเช่นกัน ที่เชฟส้มมองว่า ไม่อยากให้มีบรรทัดฐานมาตัดสินไปก่อนว่าแบบไหนคือถูกผิด ว่ากระเพราต้องเป็นแบบนี้นะ แกงเขียวหวานต้องเป็นแบบนั้น ซี่งทำให้เรารู้สึกว่าเป็นคอนเซ็ปที่น่าสนใจมากๆ
ในส่วนของ 1 คอร์ส จะประกอบไปด้วย 10 จาน และในแต่ล่ะจานก็ไม่ได้บอกวัตถุดิบหรืออะไรแต่อย่างใด นอกจากเพียงชื่อและคำโปรยเล็กๆน้อยที่เสมือนบอกประสบการณ์และกลิ่นอายแต่ล่ะจานไว้เพียงแค่นั้น
ก่อนที่จะเริ่มกันที่จานแรก ทางร้านจะเสิร์ฟแก้วชอตเล็กๆลงบนจานที่แตกของแต่ล่ะคนในนามของ “Miracle Water” เหมือนกับเป็นรางวัลและจุดเริ่มต้น และอย่างที่บอกไว้ว่าทางร้านจะไม่บอกวัตถุดิบหรือส่วนผสมใดๆก่อนเลยรวมถึงน้ำในแก้วนี้ เพื่อที่จะไม่ให้เราตีความแต่ล่ะอย่างไปก่อนและรับรู้ถึงรสชาติของอาหารในแบบของตัวเอง ทำให้เรากับเพื่อนจึงคิดกันขึ้นมาสนุกๆว่าจะมาเดากันแต่ล่ะจานกันว่ามีส่วนผสมอะไรบ้างในแบบของตัวเอง อย่างน้ำในแก้วนี้จากที่เห็นแวบแรกแล้วคาดไว้ว่าจะต้องหนักไปทางหวานชัวๆ แต่พอทานเข้าไปจริงๆแล้วกลับผิดคาดและทำให้เราหวนนึกถึงอะไรบางอย่างที่เจอมา
มาถึงกันที่จานที่ 1 “Grains” ทางร้านเสิร์ฟมาเป็นลูกกลมๆ 3 คำ ตกแต่งด้วยซอสที่ไม่เหมือนกัน เห็นจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วเราเชื่อว่าหลายคนต้องนึกถึงขนมไข่เต่าเหมือนเราแน่ๆ แบบต้องหวานชัวร์ แต่พอทานเข้าไปถึงกลับหัวเราะออกมาว่าคิดผิดอีกแล้ว แต่ล่ะคำนั้นให้รสชาติที่ไม่เหมือนกันเลย ก้อนแรกที่เราทานรสชาติจะเบาๆหน่อย คำที่สองเราเดาไว้ว่าน่าจะทำมาจากเนื้อตัดกับซอสสีราชา คำที่สามก็คิดว่าเนื้อแต่บวกกับซอสที่ทำมาจากเครื่องเทศอินเดีย แต่พอมารู้ภายหลังแล้วผิดคาดไปหมด แต่สิ่งที่คิดถูกคือเชฟตั้งใจให้ออกมาคล้ายกับไข่เต่า ขนมพื้นบ้านของไทยที่หาทานได้ไม่ยาก ทำให้เราเข้าใจคำโปรยที่เขียนไว้ว่า “Luxury does not always mean from distant places” ของจานนี้มากขึ้น ว่าเจ้าไข่เต่าธรรมดาเนี่ย มันก้มีความหรูหราในแบบของมันได้นะ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นวัตถุดิบนำเข้าอะไรเพื่อที่จะมาเพิ่มคุณค่าความเป็นอาหาร ในเมื่อไข่เต่าก็มีเอกลักษณ์ของตัวเองอยู่แล้ว
จานที่ 2 “Warmth” จานนี้เราค่อนข้างชอบเลย เสิร์ฟมาเป็นเหมือนซุปร้อนๆ รินใส่แก้ว ทานเข้าไปคำแรกเรากับเพื่อนใจตรงกันว่าต้องมีหัวหอมแน่ๆล่ะ กับมะเขือเทศด้วย พอว่ารู้เฉลยก็โล่งใจว่าลิ้นเรายังมีความตรงบ้าง แต่ไม่ใช่แค่หอมกับมะเขือเทศแน่ๆ มันมีอะไรพิเศษมากกว่านั้น ต้องมาลองดูด้วยตัวเองเลยอันนี้
จานที่ 3 “Rain Forest” เน้นตกแต่งด้วยผักใบเขียวเป็นหลักบวกกับซอสสีเขียวซึ่งเราไม่แน่ใจว่าทำมาจากอะไรกันแน่ แต่คิดไว้ว่าซอสเพสโต้ ทำให้เราหวนนึกถึงเวลาเข้าไปอยู่กลางป่าหรือในสวนหลังจากฝนตก
ถัดมาที่หมายเลข 4 “Street” อันนี้จะเสิร์ฟมาคู่กันสองจาน แนะนำว่าให้ทานตัว Oyster เข้าไปก่อน ซึ่งความโดดเด่นคือ เราคิดว่าด้านบนที่เชฟนำมาตกแต่งน่าจะเป็นถั่วเขียวไม่ก็ถั่วงอก ซึ่งเราไม่เคยเห็นใครนำมาทานคู่กัยมาก่อน แต่พอทานเข้าไปแล้วก็เข้ากันได้ดีอย่างประหลาดและตัวหอยนางรมก็สดมากๆ เดาว่าน่าจะเป็นหอยนางรมจากทางทางสุราษฎร์ธานีบ้านเรา ตามด้วยอีกจานมีส่วนผสมของเส้นเป็นหลัก บวกกับไข่ดาว เนื้อ ส้มโอ และซอส ความผิดคาดคือรสชาติค่อนข้างเผ็ดไม่เหมือนที่คิด แต่ถือว่าอร่อยเลยแหละ ทุกอย่างเข้ากันได้ดี
มาถึงจาน “Village” ที่ค่อนข้างลุ้นเลยจากคำโปรยที่เขียนไว้ว่า “The unpredictable tastes of moment of places in life” ว่าเอ๊ะที่ผ่านมาก็ผิดคาดหมดแล้ว จะมีอะไรผิดคาดไปมากกว่านี้อีก มันจะเป็นยังไงนะ พอมาเสิร์ฟก็คือผิดคาดจริงผิดคาดไปหมด สิ่งนี้คืออะไร เราไม่รู้จะเอาบรรทัดฐานใดในหัวมาเทียบเลยว่าจานนี้คืออันนี้นะ เราเริ่มลองจากตัววุ้นด้านบนก่อน อันนี้ทานเข้าไปแล้วชัดมากว่ามะพร้าวแน่ๆล่ะ ด้านล่างจะมีพวกซีฟู้ดซ่อนอยู่ และบวกกับซอสอีกเช่นเคย จะบอกว่าสิ่งนี้คือยำก็ไม่ใช่ แต่ทุกอย่างเข้ากันได้อย่างน่าประหลาด
หมายเลข 6 “Life” แวบแรกเห็นคือเอาล่ะเนื้อแน่ๆ เสิร์ฟมาคู้กับเจลลี่สีส้ม ซึ่งทางร้านแนะนำให้ทานคู่กันเลย พอทานเข้าไปก็เปลี่ยนใจว่าน่าจะเป็นหมูเพราะนุ่มมากๆละลายในปากเลย แต่พอรู้ทีหลังแล้วถึงกับตึ้บ เป็นอีกหนึ่งจานที่เราประทับใจเลย
มาพักเบรคกันที่ “Fleur de Sel” ซึ่งจากชื่อแล้วเราพอรู้ว่าเป็นเกลือของฝรั่งเศสที่ค่อนข้างราคาสูง เลยคิดว่าก่อนมาเสิร์ฟว่ารสชาติน่าจะออกไปทางเค็ม เพื่อช่วยตัดรสชาติ เหมือนเป็นการรีเฟรชเพื่อเริ่มจานถัดไป รสชาติไม่ผิดคาดจากที่เราคิดสักเท่าไหร่ มาในรูปแบบคล้ายเชอร์เบ็ต หลังจากเบรคไปแล้วจานที่ 7 “Pre Motion” ก็มาต่อทันทีทันใด เสิร์ฟมาเป็นคำเหมือนซูชิ ทานเข้าไปแล้วเพื่อนเราทายไว้ว่าปลาแน่ๆแต่เราคิดว่าออกไปทางเนื้อสัตว์มากกว่า ถูกผิดใดๆไม่มีใครรู้ แต่รสชาติดีมากฉ่ำๆ
ต่อกันที่จานที่ 8 “Motion” อันนี้เสียงทุกคนค่อนข้างตรงกันว่าเนื้อปลา ราดกับตัวครีมด้านบนออกไปทางชีส มีผักทอดเป็นเครื่องเคียง และหมายเลข 9 “Wealth” อันนี้ก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเนื้อแกะ บวกกับข้าวคลุกเคล้ากับเครื่องเทศอะไรสักอย่าง จานนี้จะหนักเครื่องเทศหน่อย แต่ตัวเนื้อแกะดีมากไม่มีกลิ่นและนุ่มมาก
มาถึงหมายเลข 10 “Celebration“ จานนี้จะเป็นของหวาน ความรู้สึกแรกเลยคือทำให้เรานึกถึงน้ำแข็งไสไสตล์ไทยๆ ทานเข้าไปแล้วมีรสเปรี้ยวนิดๆและรสขมอ่อนๆคาดว่าน่าจะมีส่วนผสมของแอลกอฮอลเล็กน้อย ผสมกับทับทิม ท้องม้วน และบัวลอย และปิดท้ายด้วยขนมหวานอีกจาน ตกแต่งด้วยแผ่นเงินทานได้แผ่นใหญ่ ซึ่งด้านล่างเราไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ว่าเป็นอะไรยังไง แต่หวานพอดีอร่อย ถือว่าเป็นจาน “Farewell” ที่แท้จริง
และก่อนที่จะจากไป เราได้สังเกตเห็นอีกอย่างว่าแต่ล่ะโต๊ะมีกล่องอะคริลิควางอยู่ แต่ความแปลกคือของแต่ล่ะชิ้นด้านในไม่เหมือนกันเลยสักกล่อง ซึ่งเรามาทราบทีหลังว่าสิ่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งในความตั้งใจของทางร้านที่ทำให้คนที่พบเห็นสิ่งของเหล่านี้ จะได้หวนนึกถึงอะไรบางอย่างที่เคยพบเจอมา อย่างถุงพลาสติกหรือกล่องกระดาษที่เห็นข้างในพอมองแล้วเรากับเพื่อนก็นึกถึงอะไรบางอย่างไปในทางของตัวเองตามสิ่งที่เคยได้เจอมาเช่นกัน
และเชฟส้มก็ได้บอกกับเราว่า อยากให้การทานอาหารเหมือนกับการที่เราไปยืนมองดูงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ ให้ทุกคนได้ซึมซับและรับรู้ในมุมมองของตัวเอง ไม่ต้องไปวัดว่างานประเภทนี้จะเป็นแบบนี้ ทุกอย่างสามารถสมบูรณ์และสวยงามในแบบของตัวเองอยู่แล้ว ให้เราได้รับรู้ความทุ่มเทและใส่ใจของศิลปินที่รังสรรค์ผลงานแต่ล่ะชิ้นออกมา เหมือนกับที่เชฟทุ่มเทให้กับอาหารทุกๆจานเพื่อประสบการณ์ที่ดีของทุกๆคน สุดท้ายนี้ “Allow things to happen the way they are” ครับ
HOURS
จันทร์ - เสาร์ : 18.00 - 23.00
DIRECTION
Map
NEARBY
Sukhumvit 49 alley
FACILITIES
- Car Park at Pizza Massilia Sukhumvit