บุฟเฟ่ต์เทมปุระ ร้านอาหารสัญชาติญี่ปุ่นแท้ สูตรต้นตำรับใจกลางกรุงเทพฯ
สำหรับใครที่รักรสชาติอาหารแบบญี่ปุ่นแท้ๆ บอกเลยว่าจะพลาดห้องอาหารในโรงแรมระดับ 5 ดาวอย่าง “Hishou“ แห่งนี้ไปมิได้เป็นอันขาด ตัวร้านตั้งอยู่ใน “Hotel Nikko Bangkok“ ใจกลางทองหล่อ หนึ่งในโรงแรมชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่นที่มาเปิดสาขาอยู่ที่ไทย ทุกอย่างในโรงแรมแห่งนี้เนี่ยพูดได้เลยว่าการบริการ ความใส่ใจ ความพิถีพิถันคือญี่ปุ๊นญี่ปุ่นมากๆ
ห้องอาหาร “Hishou“ ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 บริเวณด้านในโรงแรมเลย สามารถจอดรถได้ในอาคารจอดรถของโรงแรม หรือมาโดย BTS ก็สะดวกมากๆ สามารถมาลงที่สถานีทองหล่อ แล้วเดินต่อมาไม่กี่เมตรก็จะเจอกับโรงแรมแล้ว ภายในร้านโดดเด่นด้วยการตกแต่ง ceiling ที่ใช้ไม้ไผ่หลายร้อยชิ้นห้อยลงมาและเล่นระดับ ซึ่งทางร้านตั้งใจให้มีลักษณะคล้ายกับก้อนเมฆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่อึดอัด บวกกับใช้ไม้และสีเอิร์ธโทนเป็นหลักในส่วนอื่นๆ ให้ฟีลแบบร้านอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับแท้ๆ
การให้บริการจะแบ่งเป็น “Lunch Buffet” ในช่วง 11.30 - 14.30 และ “Dinner Buffet” ในช่วง 17.30 - 22.30 โดยความโดดเด่นของที่นี้อีกอย่างนอกจากเทมปุระก็คือ “Obanzai” อาหารขึ้นชื่อจาก Kyoto เป็นอาหารโฮมเมดในแบบฉบับของญี่ปุ่น วัตถุดิบส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบคือผักและอาหารทะเล และปรุงด้วยวิธีเรียบง่าย ที่ค่อนข้างมีความเฮลตี้สูงมาก โดยทางร้านจะให้บริการ Obanzai ทั้งในช่วงกลางวันและเย็น ช่วงเย็นจะมีชื่อเรียกเฉพาะอีกแบบว่า “Osouzai” อีกด้วย
เคาน์เตอร์ที่ให้บริการ Obanzai จะตั้งอยู่ตรงกลางร้านเลย มีอาหารให้เลือกทานหลากหลายมากๆ ไม่ว่าจะเป็น โซบะเย็น หัวปลาแซลม่อน ซูชิต่างๆ แกงกะหรี่ ซุปมิโสะ ข้าวญี่ปุ่นร้อนๆ และทีเด็ดที่ห้ามพลาดเลยคือ โอเด้ง ในน้ำซุปร้อนๆมีทั้งลูกชิ้นปลา ไข่ รากบัว ชิกูวะ ทานตอนร้อนๆคือฟินมากๆ และโดยส่วนตัวอีกอย่างที่เราค่อนข้างชอบในโซนนี้คือ แกงกะหรี่ แนะนำว่าให้ลอง รสชาติกำลังพอดีไม่เลี่ยนเกินไป
และก็มาถึงโซนที่รอคอยก็คือ “Tempura Buffet” นั่นเอง ในส่วนของเทมปุระจะแบ่งเป็น 2 คอร์สก็คือ “Aya Tempura“ จะมีรายการให้เลือกมากถึง 18 อย่าง อาทิเช่น กุ้ง ปลาเนื้อขาว ปลาหมึก เห็ด มะเขือม่วง มันหวาน ไอศกรีมทอด และอื่นๆ แต่ถ้าใครที่รู้สึกอยากจะทานอะไรที่พรีเมี่ยมขึ้นมาอีกหน่อยก็จะแนะนำเป็น “Hishou Tempura” ซึ่งจะเพิ่มวัตถุดิบพรีเมี่ยมเข้ามาอีกรวมเป็น 30 อย่าง เช่น กุ้งลายเสือ ขาปูหิมะ หอยเชลล์ แซลม่อน อะโวคาโด และอื่นๆอีกมากมายเลย
ในร้านแบ่งเป็นหลายโซนให้เลือกนั่งได้ทั้ง Normal Zone เป็นโต๊ะหมาะสำหรับ 1-4 คน หากใครที่มาเป็นกลุ่มใหญ่หน่อยก็จะมี Private Zone อันนี้จะเป็นห้องส่วนตัวเหมาะสำหรับ 5-10 คน ซึ่งจะเป็นห้องส่วนตัวเลยและไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มใดๆ แต่แนะนำว่าให้จองมาก่อน เพราะมีเพียงแค่ 2 ห้องเท่านั้น และอีกหนึ่งโซนพิเศษอย่าง Chef Table ที่เราสามารถ ชมขั้นตอนการทำเทมปุระของเชฟอย่างใกล้ชิดกันเลยทีเดียว
เชฟจะเริ่มจากเตรียมวัตถุดิบต่างๆ ต่อด้วยการนำไปคลุกเคล้ากับแป้ง จุ่มลงในกระทะร้อนๆ แล้วนำขึ้นมาพัก ก่อนจะจัดลงในจานอย่างสวยงาม ความแตกต่างเทมปุระของที่นี้อย่างเห็นได้ชัดนอกจากวัตถุดิบแล้วคือ ไม่อมน้ำมันเลย เนื่องจากกระทะของทางร้านถูกสั่งทำพิเศษมาจากญี่ปุ่น ซึ่งเหมาะกับการทอดเทมปุระโดยเฉพาะและสามารถควบคุมอุณหภูมิได้เป็นอย่างดี ตัวเทมปุระจะไม่อมน้ำมันเลย เมื่อทานแลวไม่เลี่ยนและยังกรอบอร่อยมากๆด้วย
ความพิเศษสำหรับใครที่นั่งในส่วนบาร์อีกอย่างก็คือ เชฟจะเสิร์ฟเทมปุระแบบเรียกได้ว่าจากเตาถึงจานแบบทันใจกันเลยทีเดียว คือเมื่อทอดเสร็จ เชฟจะคีบนำมาวางบนจานของเราแบบทันที ให้ทานกันแบบร้อนๆกรอบๆเลย
ในส่วนของรสชาติเราถูกใจมาก รู้สึกว่าทานได้เรื่อยๆ ไม่เลี่ยนหรือหนักเกินไป และโดยปกติแล้วที่เราคุ้นชินเราก็คือการทานเทมปุระคู่กับ Tentsuyu หรือน้ำจิ้มเทมปุระนั่นเอง แต่ความพิเศษของที่นี่ที่เรายังไม่เคยเจอมาก่อนก็คือการทานคู่กับ “เกลือ” ที่มีทั้งหมด 6 ชนิด Moshio(รสธรรมดา), Sansho Shio(รสพริกไทยดำ), Yusu Shio(รสมะนาว), Karei Shio(รสแกงกะหรี่), Wasabi Shio(รสวาซาบิ) และ Matcha Shio(รสชาเขียว) ซึ่งจะให้รสชาติที่ต่างออกไปอีกแบบ
ในส่วนของหวานของทางร้านก็เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเช่นกันเพราะสิ่งนี้คือ “Fried Tempura Ice cream” ไอศกรีมทอดเทมปุระที่หาทานไม่ได้ง่ายๆอย่างแน่นอน และด้วยคอของหวานอย่างเราบอกเลยว่ากดถูกใจให้กับสิ่งนี้
เมนูหวานๆอีกอย่างที่เด็ดไม่แพ้กันก็คือตัว “Soft Serve“ ที่ให้รสชาติเค็มหน่อยๆ สามารถเติมได้ไม่อั้น และมีกิมมิคอยู่ที่ทอปปิ้งที่เติมได้ไม่อั้นเช่นกัน จะมีให้เลือกทั้งชาเขียวพรีเมี่ยม, ถั่วแดง, ซอสงาดำ, ซอสงาขาว, ผงโฮจิฉะ และคุโรมิสึ รสออกเค็มของตัวไอศกรีมค่อนข้างตัดกับทอปปิ้งต่างๆได้ดี
และมาถึงร้านอาหารญี่ปุ่นแบบต้นตำรับทั้งทีที่เราจะพลาดไปไม่ได้เลยก็คือ “Sake” เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันขึ้นชื่อของญี่ปุ่นนั่นเอง โดยวิธีการเสิร์ฟสาเกเนี่ย เขาจะเทให้ล้นแก้วเลย เพื่อแสดงถึงความจริงใจและทุ่มเทของผู้ให้บริการ เวลาทานก็ให้ทานจากแก้วให้หมดก่อนแล้วค่อยตามด้วยในภาชนะที่เหลือ รสชาติก็จะคล้ายกับดื่มวอดก้าหน่อยๆ แต่เป็นวอดก้าที่ผสมมาพร้อมดื่มแล้ว พูดเลยว่าดื่มสาเกยิ่งดื่มตอนอากาศหนาวคือฟินสุดๆ
แต่ถ้าหากใครเป็นสายดื่มเบียร์ล่ะก็ ที่นี่ก็มีทีเด็ดอีก นั่นก็คือ “Asahi Extra Cold” ซึ่งมีอุณหภูมิติดลบถึง -2.2 องศาเซลเซียส ความเย็นช่ำของเบียร์ก็คือเรียกได้ว่ามาจากตัวเบียร์เลยจริงๆ ไม่ต้องพึ่งน้ำแข็ง ฟีลกู้ดไปอีกแบบ
ก็คือบอกเลยว่าใครคิดถึงบรรยากาศและรสชาติแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ก็ต้องมาลองโดนที่ “Hishou” ดูสักครั้ง คุ้มค่าคุ้มราคากับอาหารและการบริการต่างๆประทับใจตามแบบฉบับวัฒนธรรมญี่ปุ่น
HOURS
ทุกวัน : 11.30 - 14.30,
17.30 - 22.30
DIRECTION
Map
NEARBY
BTS Thonglor
FACILITIES
- Car Park at Hotel Nikko Bangkok