Fine dining อาหารไทยสุดหรู บรรยากาศเครื่องบินส่วนตัว ในราคามิตรภาพ
หากใครเคยสัญจรไปมาแถวๆถนนสิรินธรอาจจะคุ้นหน้ากับสถานที่ที่ดูแล้วประหลาดตาด้วยการตกแต่งที่ดูไม่ได้ตั้งใจ บวกกับวัสดุเก่าๆที่เหมือนนำมารวมกันอย่างไม่มีแบบแผนอย่าง “ช่างชุ่ย” ซึ่งเป็นโครงการที่รวบรวมความสร้างสรรค์เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งสินค้า handmade เสื้อผ้า ของกินและเครื่องดื่ม ซึ่งล้วนถูกตกแต่งด้วยความชุ่ยๆอย่างไม่ตั้งใจ แต่กลับดึงดูดความสนใจผู้คนที่ผ่านไปมา โดดเด่นด้วยเครื่องบินลำใหญ่รุ่นเก๋าอย่าง Lockheed L-1011 Tristar ที่ถูกเนรมิตให้กลายเป็นร้าน Fine Dining สุดหรูอย่าง “Na-Oh”
เครื่องบินยักษ์ใหญ่ลำนี้ถูกนำมารีโนเวทให้กลายเป็น Landmark ของช่างชุ่ยและร้านอาหารไปในตัว มีการต่อเติม Spiral Tube Slide สีแดงโดดเด่นบริเวณ Emergency Exit ของตัวเครื่อง พร้อมทั้งบันไดและลิฟท์ด้านหลังที่จะนำเราขึ้นไปสู่ร้านอาหารภายในตัวเครื่อง
เราได้นำรูปสวยๆอีกมุมหนึ่งจากบริเวณปีกเครื่องบินมาฝากกันด้วย ซึ่งโดยปกติจะไม่ได้เปิดให้ขึ้นไปในส่วนนี้ แต่ในครั้งนี้เราได้รับอนุญาตจากทางร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อเข้ามาในตัวร้าน สิ่งแรกที่เด่นมากๆเลยคือสัตว์น้อยใหญ่มากมายหลายชนิด ที่ถูกจัดโชว์อยู่ทั้งบริเวณกลางร้านและใต้ท้องเครื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงที่มาของร้าน “Na-Oh” ที่เวลาผวนคำจะเป็นคำว่า “No-ah” ตำนานเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งหญิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ ที่เชื่อว่าโนอาห์ได้รับสารจากพระเจ้าว่าจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้น จึงสร้างเรือไม้ลำยักษ์ไว้ พร้อมกับนำมนุษย์ส่วนหนึ่งและสัตว์อีกมากมายขึ้นเรือลำนี้เพื่อหลีกหนีจากวันสิ้นโลกไปด้วยกัน เราจึงได้เห็นสัตว์น้อยใหญ่เหล่านี้ถูกประดับอยู่ทั่วเครื่องบินนั้นเอง
โดยภายในร้านถูกแบ่งออกเป็นหลายโซนทั้งบริเวณท้ายเครื่อง ที่จะถูกเน้นให้เป็นโซนสำหรับเครื่องดื่ม รวมถึงเป็นเวทีสำหรับนักร้องเมื่อมีการจัดงานอีเว้นท์ บริเวณกลางเครื่องจะเหมาะสำหรับนั่งรับประทานอาหาร ตกแต่งด้วยโต๊ะและเก้าอี้้ที่ให้ความรู้สึกหรูหรา
และบริเวณหัวเครื่อง ถูกเปลี่ยนจากห้องนักบินให้กลายเป็นที่นั่งไพรเวทหรูหรา เหมาะกับใครที่มาทานดินเนอร์เป็นคู่หรือครอบครัวขนาดเล็กที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
ในส่วนเครื่องดื่มที่ทางร้านแนะนำมาในวันนี้จะเป็น “Black Priest“ ซึ่งมีส่วนผสมหลักๆเป็น Tequilla, Lime, Blueberry และ Charcoal และ “Dark Side” ผสมด้วย Vodka, Rum, Gin, Tequilla และ Lime ซึ่ง 2 แก้วนี้เหมาะกับคนที่ชอบทานเครื่อดื่มแอลกอฮอลที่ให้รสชาติเข้มข้นแรงๆ แต่สำหรับใครที่ชอบแก้วที่ออกไปทางหวานอมเปรี้ยวหน่อยๆ แนะนำให้เลือกเป็น “Marry Jane“ เป็นส่วนผสมของ Gin, Strawberry, Syrup, Lime และ Mint จะให้รสชาติที่พอดีไม่แรงมากเกินไป
Course Menu ใหญ่สุดของทางร้านประกอบไปด้วย 12 เมนู ซึ่งแต่ล่ะจานถูกรังสรรค์ด้วยฝีมือของ “เชฟป็อป” เน้นเป็นอาหารไทยทั้งหมด ซึ่งทางเชฟได้แรงบันดาลใจและใช้วัตถุดิบที่ได้มาจากภูมิภาคต่างๆภายในประเทศไทย โดยจะเริ่มที่ “Black Angel“ ได้แรงบันดาลใจหลักๆมาจาก “กระหรี่ปั๊ป“ ซึ่งถูกนำมาประยุคใหม่ ตัวไส้ใช้เนื้อไก่ดำ organic นำมาย่างทั้งตัวด้วยถ่านอ่อนๆ และใช้เครื่องเทศมากกว่า 13 ชนิดที่ทำขึ้นเอง ตกแต่งคู่กับหินสีดำสวยงาม แนะนำว่าให้ทานเหมือนทานเบอร์เกอร์ให้หมดก่อน แล้วปิดท้ายด้วยอาจาดเจลลี่เพื่อตัดความเลี่ยนได้เป็นอย่างดีค่ะ
จานที่สองมาในชื่อว่า “”Poseidon” เสิร์ฟมาแบบเกร์ๆด้วยแก้วครอบที่เมื่อเปิดออกมาแล้วจะเต็มไปด้วยควันจากไม้ลำไยฟุ้งให้ความรู้สึกเหมือนมาจากท้องทะเล จานนี้จะเด่นด้วยตัวแครกเกอร์ด้านล่างซึ่งทำมาจากหนังปลา ทอปด้านบนด้วยปลาอีกชนิดซึ่งขึ้นอยู่กับฤดูกาล ใช้มะเขือยาวหมกถ่านมาทำเป็นเจลบีบตกแต่ง มีส่วนผสมของถั่วและมะพร้าวคั่วเพื่อความหอมละมุนตัดความเผ็ด ปิดท้ายด้วย Eatable Flower จานนี้ควรทานทั้งหมดในคำเดียว จะได้รสชาติของปลาค่อนข้างชัดและส่วนผสมอื่นก็ตัดรสได้ดี
อีกหนึ่งจานที่ค่อนข้างโดดเด่นคือ “AXE” ฉู่ฉี่แห้งกรรเชียงปู ที่ถูกเสิร์ฟมาให้บนจานรูปขวานประเทศไทยที่เชฟสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ โดยเชฟเล่าให้เราฟังว่าจานนี้ตั้งใจให้เห็นแรงบันดาลใจและแหล่งที่มาของวัตถุดิบว่ามาจากส่วนไหนของประเทศ ในส่วนของวัตุดิบใช้ปูเป็นส่วนผสมชูโรง นำปลาย่างโขลกกับเครื่องแกงด้านบน และมีการใช้ผงมะกรูดเพื่อเพิ่มความหอมของรสชาติเครื่องเจียวต่างๆบนปู ตกแต่งไว้ด้านบนบริเวณภาคเหนือของไทยเพื่อแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ รวมไปถึง seafood jel ที่ช่วยเพิ่มความกลมกล่อม จานนี้แนะนำให้ทานหมดทีเดียวทั้งคำเหมือนกันค่ะ
จานที่ 4 มาในนาม “Byalan“ หอยนางรมส่งตรงจากสุราษฎร์ธานี ประกอบด้วยใบกระถินและน้ำพริกเผาที่ทางเชฟปรุงขึ้นมาเอง ตกแต่งด้วยมะละกอดองหวานนาน 3 อาทิตย์ ใช้หัวไชเท้าดองเปรี้ยวหั่นเป็นเต๋าวางไว้ด้านบน และซอสศรีราชา sorbet ที่ทำขึ้นเอง ที่เราค่อนข้างชอบคือการตกแต่งในจานนี้จะใช้เปลือกหอยนางรมมาประดับในจาน ทำให้รู้สึกถึงความสดใหม่เหมือนพึ่งขึ้นมาจากทะเล
“Maya“ เป็ดย่างถ่านเสิร์ฟมาในชามกระเบื้องลายไทย คู่กับส้มโอทับทิมสยาม จากปากพนัง ซึ่งจะมีเป็นช่วงฤดูกาลเท่านั้น เมื่อทานแล้วเรารู้สึกว่าตัวส้มโอเย็นและแข็งไปหน่อย แต่สิ่งที่เราค่อนข้างชอบในจานนี้คือตัวกะทิมูส เนื่องจากเป็นคนชอบของหวาน ตัวกระทินุ่มทานง่าย เวลาทานให้แบ่งเป็น 3 คำ เปิดที่ส้มโอคู่กับกระทิ ต่อด้วยอกเป็ดกับกะทิ และปิดท้ายด้วยส้มโอกับกะทิอีกที
จานที่โดดเด่นด้วยใบบัวจานนี้มีชื่อว่า “Hydra“ มาในรูปแบบข้าวยำปักษ์ใต้ ใช้ข้าวเหนียวลืมผัวและข้าวพองกรอบเป็นหลัก ทานคู่กับปลาทราย ตกแต่งด้วยดอกดาหลาทานได้ วิธีทานคือให้นำปลาฉีกออกเป็นชิ้นและผสมกับข้าวยำและทานเป็นคำๆไปค่ะ
ก่อนที่เราจะเข้าสู่จานหลัก ทางเชฟได้เรียกเมนูนี้ว่าเป็น Pre-dessert หรือขนมหวานล้างปาก “Bear Crave“ โดยนำสับปะรดจากจังหวัดตราด มาทำเป็นเชอเบท โดย Inspired มาจากสับปะรดพริกเกลือ ทานคู่กับน้ำผึ้งป่าจากธรรมชาติ ซึ่งหาซื้อได้ยากมากๆ รสชาติของน้ำผึ้งจะไม่หวานเหมือนน้ำผึ้งทั่วไปจะให้รสชาติไปทางขมนิดๆ
และจากหลักในวันนี้มีชื่อว่า “The Last Land” ประกอบไปด้วยกุ้งแม่น้ำและหลนไตปลาเป็นหลัก พร้อมกับผักต่างๆเป็นเครื่องเคียง รวมทั้งลิ้นหมูที่ผ่านการ Sous Vide อย่างดีผัดกับสะตอกับซุปเนื้อ และสามารถเลือกอีกจานได้ระหว่างฟักทองไข่ข้นหรือผัดใบเหลียง จานนี้ต้องบอกเลยว่าค่อนข้างอิ่มมากๆเพราะมีการเสิร์ฟข้าวสวยร้อนๆมาให้ทานคู่กันอีกด้วย
ปิดท้ายสวยๆด้วยของหวาน “Coco” ซึ่งเราค่อนข้างชอบอีกเช่นกัน เชฟใช้กากมะพร้าวนำไปเผาแล้วมาทำไอศกรีม ใช้มะพร้าวกะทิจากทับสะแก ทอปด้วยซอสโตนดที่เคี่ยวจนเหมือนคาราเมลจากจังหวัดตราด แซมด้วยขนมจากย่างและลิ้นจี่ เวลาทานแล้วเรียกได้ว่าลงตัวทีเดียว ได้รสชาติจากขนมจาก ความมันของมะพร้าวกะทิและความหอมของกากมะพร้าวก็โดดเด่นเตะจมูกอีกด้วย
หากใครที่กำลังมองหาร้าน Fine dining อาหารไทยที่ราคาไม่แรงบวกกับบรรยากาศที่แปลกใหม่ รวมทั้งมุมถ่ายรูปเก๋ๆที่เสมือนทานมื้อหรูอยู่บนเครื่องบินส่วนตัวแล้วล่ะก็ สามารถไปเยี่ยมเยียนเชฟป็อปที่ร้าน “Na-Oh” แห่งนี้กันได้นะคะ