โรงอาหารไทย ที่ไม่ถูกตีกรอบด้วยความเป็นไทย แต่ผสมผสานแนวคิดของคนรุ่นใหม่ เข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างลงตัว
ร้าน “Saladang Dining Hall” หรือ “โรงอาหารศาลาแดง“ ที่ดูโดดเด่นด้วยสีโทนสบายตาแห่งนี้ เมื่อมองดูแล้วหลายคนอาจจะคิดว่าที่นี้เป็นคาเฟ่สุดชิคแห่งใหม่ แต่จริงๆแล้วคอนเซปของที่โรงอาหารแห่งนี้คือการบริการ “อาหารไทยรูปแบบใหม่“ ด้วยแนวคิดที่ว่า ร้านอาหารไทยนั้นไม่จำเป็นจะต้องถูกกำจัดหรือตีกรอบด้วยความเป็นไทยไปซะทุกอย่าง เช่นการ ใช้วัสดุ ลวดลาย หรือแม้แต่ตัวอักษรไทย เพื่อสื่อให้ผู้คนรับรู้ว่าสถานที่นี้บริการอาหารไทยดังเช่นที่เป็นค่านิยมมาตลอด เลยเกิดเป็นร้านอาหารไทย แบบ contemporary ใจกลางศาลาแดง ซอย 1 ขึ้นมาค่ะ
ตัวร้านนั้น “Saladang Dining Hall” ตั้งอยู่ในศาลาแดง ซอย 1 ห่างจากถนนพระรามสี่เพียงแค่ 50 เมตร เปิดให้บริการทุกวันจันทร์ - วันเสาร์ เวลา 11.00 - 23.00 และปิดให้บริการในวันอาทิตย์ค่ะ สามารถเดินทางด้วย BTS หรือ MRT มาลงที่สถานีสีลม และเดินต่ออีกประมาณ 8 นาที ก็ถึงตัวร้านแล้วค่ะ หรือหากใครขับรถมาก็สามารถไปจอดได้ที่ อาคาร อื้อจือเหลียง ฝั่งตรงข้ามกับร้าน โดยจะได้จอดฟรีจากทางตึกอยู่แล้ว 30 นาที แล้วนำมาแสตมป์กับทางร้านจะได้เพิ่มฟรีอีก 60 นาทีค่ะ
ภายในร้านนั้นเน้นใช้สีโทนสบายตาเป็นหลักเหมือนกับด้านนอก พร้อมทั้งติดกระจกเกือบรอบด้าน เพื่อให้แสงธรรมชาติเข้ามาภายในร้านได้อย่างเพียงพอ เผยให้เห็นเสน่ห์ของโครงสร้างอย่างเสาและคานไม้ และโดดเด่นด้วย “บาร์” ใจกลางร้าน ที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องหลังคาสีส้ม ซึ่งนอกจากจะเป็นลูกเล่นที่ดูสวยงามดึงดูดสายตาผู้คน ยังทำให้ได้กลิ่นอายของวัสดุแบบไทยๆไปในตัว
เฟอร์นิเจอร์ภายในร้านเน้นเป็นแบบที่เรียบง่าย ไม่หวือหวาหรือดูเยอะเกินไป แต่ได้ความทันสมัย ใช้สีเทาและสีเบจเป็นหลักซึ่งเข้ากับการตกแต่งส่วนอื่นภายในร้านได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งมีมุมหลากหลายให้ผู้ใช้บริการได้เลือกนั่ง แต่ละมุมก็จะมีลูกเล่นต่างกันไป อย่างมุมที่เราค่อนข้างชอบที่ทางร้านใช้กำแพงครึ่งวงกลมสีขาวล้อมตัวโต๊ะ จะให้ฟีลไพรเวทขึ้นมาและเหมาะกับการเป็นมุมถ่ายรูปแบบเก๋ๆไปอีกค่ะ
หากใครที่มาเป็นกลุ่มใหญ่ ทางร้านก็มีบริการชั้น 2 ซึ่งเหมาะกับการรองรับคนจำนวนมาก และการตกแต่งในชั้นนี้จะแตกต่างจากชั้นล่างออกไปเล็กน้อย แต่ยังคงความเรียบง่ายแต่ทันสมัยเอาไว้ได้ดี และหากใครที่มองหาสถานที่จัดงานหรือทานข้าวแบบเป็นส่วนตัว ทางโรงอาหารศาลาแดงแห่งนี้ก็มีบริการปิดชั้นบนให้เป็น private event ได้ด้วยนะคะ
ปัญหาใหญ่ของเราหลายๆครั้งมักจะไม่พ้นที่ มื้อนี้จะกินอะไรดีนะ จนบางทีกว่าจะนึกออกรู้ตัวอีกทีก็เสียเวลาไปเยอะแล้ว เราเลยค่อนข้างถูกใจเมนู “Special Lunch Set” (200THB) ของทางร้านเป็นพิเศษ ที่จัดมาให้เป็นชุดเรียบร้อย ซึ่งนอกจากจะช่วยลดเวลาความลังเลตัดสินใจยากของเราไป ยังเป็นจานที่อิ่มท้องได้อย่างพอดี ด้วยแกงเขียวหวานเนื้อสูตรพิเศษของทางร้าน ทานคู่กับชิงชังทอดกรอบ และไข่เป็ดดาวที่ไม่สุกจนเกินไป ตอนหั่นออกมาตัวไข่แดงเยิ้มออกยั่วน้ำลายมากๆ บวกกับข้าวสวยร้อนๆหรือจะเลือกเป็นโรตีก็ได้ ปิดท้ายด้วยแตงโมไร้เมล็ดฉ่ำๆคลายร้อนได้เป็นอย่างดี ต่อกันด้วยเมนูทานเล่นอย่าง “Saladang Hot Wings” (150THB) ปีกไก่ทอดที่ปรุงด้วยซอสไทยแบบเผ็ดของทางร้าน บวกกับซอสรสเปรี้ยวผสมกับลงตัวพอดี ตามมาด้วย “กุ้งแม่น้ำย่าง” (250THB) พร้อมมันกุ้งที่เสิร์ฟมาให้ตัวใหญ่จุกๆเน้นๆ มันเยิ้มๆ ทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรของทางร้าน
ในส่วนของจานหลักในวันนี้ของเราจะเป็น “Kaeng Kua Sapparod“ หรือ แกงคั่วสัปปะรดหมู (170THB) จานนี้จะใช้หมูเป็นวัตถุดิบหลัก และความเปรี้ยวปนหวานอ่อนๆของสับปะรดตัดเข้ากับรสเผ็ดของแกงได้ดี เมื่อทานกับข้าวสวยร้อนๆคือดีงามค่ะ
อีกหนึ่งจานหลักที่ทางร้านใส่วัตถุดิบกันมาแบบไม่กั๊กก็คือ “Stir-Fried Crab Prik Keang“ (320THB) ปูผัดพริกแกงนั่นเอง จานนี้ทำให้เรานึกถึงกับข้าวของโรงเรียนสมัยเด็กๆเลยค่ะ ที่มักจะมีหมูและถั่วฝักยาวผัดกับพริกแกงให้เห็นอยู่เสมอ แต่จานนี้ได้ถูกทางร้านปรับปรุงใหม่ด้วยการใช้ “เนื้อปู” เข้ามาแทน ใช้ปูก้อนแบบเน้นๆคุ้มค่าราคากันเลยทีเดียว
เมื่อมีคาวก็ต้องไม่ลืมหวานค่ะ “Mango Pannacotta“ (120THB) พานาคอตต้ามะม่วงน้ำดอกไม้ ถือเป็นของหวานจานโปรดจานใหม่ของเราเลย ปกติเราจะเจอพานาคอตต้าที่เสิร์ฟมาพร้อมกับผลไม้รสเปรี้ยวเช่น สตอเบอรรี่ แต่พอมาเป็นมะม่วงแล้วก็ฟินกันไปอีกแบบ จานนี้จะนำด้วยรสหวานมากกว่า ยิ่งทานกับเนื้อมะม่วงกรุบๆยิ่งฟินเลยค่ะ
ในส่วนของเครื่องดื่มนั้น concept หลักๆในส่วนนี้ก็ยังคงใช้เมนูหรือวัตถุดิบของไทยเกือบทั้งหมด แต่ได้มีการนำมาปรับปรุงใหม่ ให้เข้ากับวิถีของคนรุ่นใหม่มากขึ้นค่ะ และเสมือนเป็นห้องทดลองย่อมๆเพราะทางร้านมักมีการคิดค้นเมนูใหม่ๆขึ้นมาเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น แต่ยังคงใช้วัตถุดิบไทยทุกอย่างเป็นหลัก ตัวแอลกอฮอลส่วนใหญ่ก็จะเป็นของไทยแท้ๆเลยค่ะ
ดังเช่นเมนู recommended cocktail ของทางร้านในฤดูกาลนี้ก็คือ “Rosalyn“ (260THB) โรสรินค่ะ แก้วนี้เป็นส่วนผสมระหว่าง Tequila, น้ำแตงโม และน้ำมะนาว ตกแต่งด้วยสมุนไพรไทยอย่างใบโหระพา และเกลือรอบขอบแก้ว ปิดท้ายด้วยกลีบกุหลาบแห้งด้านบน สีออกมาชมพูอมแดงหวานๆดูน่าทาน รสชาติก็มีความหวานนำด้วยค่ะ หากใครที่ชอบทานคอกเทลที่รสของแอลกอฮอลไม่โดดจนเกินไป ก็แนะนำเป็นแก้วนี้เลยค่ะ และลักษณะบาร์ เป็นแบบ open ทั้งหมด เราสามารถชมขั้นตอนการทำคอกเทลของบาร์เทนเดอร์ได้ด้วยอีกค่ะ
ส่วนเครื่องดื่ม non-alcohol, signature ของทางร้านที่เป็นที่นิยมเลยก็คือตัว “Bael Cocoa“ (100THB) มะตูมโคโค่ค่ะ มีส่วนผสมของ cocoa syrup และมะตูม ซึ่งน้ำมะตูมเนี่ยก็เป็นอะไรที่เรียกได้ว่าอยู่คู่กับคนไทยมานาน เพราะนอกจากจะช่วยคลายร้อนอากาศในเมืองไทยได้เป็นอย่างดี ยังมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ว่า จะเป็นการช่วยลดไขมันในร่างกาน ต้านไวรัส ยับยั้งระดับน้ำตาลภายในเลือด และอีกมากมาย ยิ่งทานคู่กับอาหารไทยก็คือลงตัวมากๆ ด้วยความเย็นบวกหวานของน้ำมะตูมจะตัดได้ดีกับอาหารไทยส่วนหญ่ที่จะมีรสเผ็ดนำค่ะ
แอบกระซิบว่าตอนนี้ทางร้านกำลังคิดค้นเมนูใหม่ๆสูตรพิเศษขึ้นมา ซึ่งคอกเทลแก้วนี้มาในชื่อว่า “Prao“ พร้าว (280THB) ก็เป็นหนึ่งในเมนูใหม่ด้วยนั้นเองค่ะ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากขนมสังขยาของไทย โดยแก้วนี้จะโดดเด่นด้วยการกลั่นกะทิจนใสด้วยกระบวนการ clearification และใช้แป้งบางกรอบที่เพิ่มลูกเล่นด้วยการใส่ texture ลงไป ตกแต่งไว้ด้านบน และตัวคอกเทลนี้มีส่วนผสมของแอลกอฮอลของไทย บวกกับส่วนผสมของ “น้ำมะพร้าว“ เป็นหลักค่ะ
หากใครที่กำลังมองหารร้านอาหารไทยที่ไม่ถูกตีกรอบจากความเป็นไทยจนเกินไป เหมาะกับวิถีชีวิตของผู้คนสมัยใหม่ ในย่านศาลาแดงแห่งนี้แล้วล่ะก็ ไม่ควรพลาด “โรงอาหารศาลาแดง” ที่ดูเรียบง่ายแต่โดดเด่นแห่งนี้เลยจริงๆค่ะ
TAKEOFF GUIDE
- Special Lunch Set
- Kaeng Kua Sapparod
- Mango Panacotta
- Bael Cocoa
PRICE RANGE
฿ ฿ ฿
TEL
095 907 9947
MORE INFO
Official Website