Rod Tiew (and Bar)

ร้านอาหารลับๆ ถูกรังสรรค์ด้วยเชฟมากประสบการณ์ ผู้หลงใหลในการทำอาหาร ในย่านเก่าแก่ฝั่งธนบุรี

ถ้าหากว่าเราพูดถึงกรุงเทพฯในฝั่งธนบุรีแล้วเนี่ย เราเชื่อว่าหลายคนที่ไม่คุ้นชินกับย่านนี้สักเท่าไหร่ ก็มักจะนึกไปถึงความเป็นชุมชนเก่าแก่ วัฒนธรรมดั้งเดิม ตึกพาณิชย์เก่าๆที่ดูไม่มีสีสันโออ่าเท่าในตัวเมือง อาจจะดูไม่มีกิจกรรมหรือสถานที่ให้ check-in แต่จริงๆแล้วในฐานะที่เราเป็นเด็กฝั่งธนฯคนนึง กล้าพูดได้เลยว่าในปัจจุบันนั้นมีสถานที่ คาเฟ่ ร้านอาหารชิคๆคูลๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ตามย่านเก่าแก่ ที่ควรค่าแก่การมาเยี่ยมเยียนให้ได้ย่าง “Rod Tiew & Bar” ร้านอาหารฟิวชั่นคุณภาพระดับโรงแรม ซ่อนตัวอยู่ในย่านคลองสาน แนว Chinese Fusion ราคามิตรภาพดุจเพื่อนบ้านกัน

ตัวร้านรีโนเวทมาจากตึกแถวดั้งเดิม ตกแต่งภายนอกด้วยสีขาวสะอาดตา เสริมด้วยโครงสร้างไม้และกระจกเปิดให้เห็นภายในบางส่วน แม้ขนาดจะไม่ใหญ่มากแต่ก็โดดเด่นจากอาคารรอบข้างชัดเจน เมื่อเข้ามาภายใน เราแอบแปลกใจที่มีพื้นที่โล่งสบายกว่าที่เราคิดเมื่อมองจากด้านนอก ทางร้านใช้เฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้เป็นหลัก แบ่งสัดส่วนเป็นระเบียบชัดเจน รู้สึกสบายๆ ตัวพื้นและผนังเผยให้เห็นความดิบของวัสดุ ทำให้ได้กลิ่นอายความเป็นตึกแถวดั้งเดิม พร้อมด้วยภาพวาดประดับรอบร้านให้ฟีลร้านอาหารสมัยก่อน

อาหารแต่ล่ะจานนั้นถูกคิดค้นและรังสรรค์โดย “คุณตี๋“ ผู้ที่รับบทเป็นทั้งเชฟและเจ้าของร้านรสเตี๋ยวแห่งนี้ จานแรกที่เราจะมานำเสนอในครั้งนี้ก็คือ “SousVide Chicken Breast Soak with Chinese Wine” (150 thb) หรือไก่แช่เหล้านั่นเอง ความไม่ธรรมดาในความธรรมดาของจานนี้นั้นเป็นเพราะ ส่วนที่ถูกนำมาใช้จะเป็นส่วนอกล้วนๆที่ถูกผ่านการ Sous Vide อย่างดี ทำให้ไก่คงรสชาติและความนุ่มไว้ได้เป็นอย่างดี บวกกับกลิ่นหอมของตัวเหล้าที่นำมาหมักไว้นานถึง 3 ชั่วโมง เมื่อได้ทานสักชิ้นแล้วคือหยุดไม่ได้จริงๆ

และอีกหนึ่งจานถัดมาที่ทำให้เราหวนไปถึงข้าวต้มยามดึก แต่เป็นข้าวต้มที่เสมือน Chef Table มาอยู่ตรงหน้าก็คือ “Beancurd and Century Eggs with Spicy Black Vinegra Sauce” (150 thb) หรือที่รู้จักกันในนาม ยำเต้าหู้ไข่เยี่ยวม้า แค่เห็นจัดจานมาอย่างสวยงามขนาดนี้ เราก็ไม่มีความลังเลใดๆที่จะตักทานเข้าไปคำใหญ่ และตามด้วยคำใหญ่อีกหลายๆคำ เพราะด้วยความละมุนของเต้าหู้บวกเข้ากับตัวไข่เยี่ยวม้า และซอสสูตรเฉพาะของทางร้านคือหยุดไม่ได้ คือลงตัวกันพอดีไปหมด

ถ้าหากถามว่าถ้ามีโอกาสมาที่นี่ จานไหนที่ห้ามพลาดเลย เราจะตอบอย่างเสียงดังเลยว่า “Aromatic Crispy Duck with Pancake“ (240 thb) เป็ดอโรมาติคครับ ตอนมาเสิร์ฟแค่ได้กลิ่นก็คือยั่วๆไม่ไหวแล้ว โดยเมนูนี้เนี่ยมักจะพบเจอตามโซน Chinatown ในต่างประเทศ แต่ในไทยจะไม่ค่อยพบเห็นสักเท่าไหร่ เวลาทานให้นำเป็ดที่ถูกยีมาเป็นชิ้นเล็กๆให้เหมาะกับการทานเป็นคำง่ายๆ วางลงบนแผ่นแป้งร้อนๆ บวกกับผักเครื่องเคียงและจบด้วยการราดซอสสูตรเฉพาะของทางร้าน ม้วนๆแล้วทานเข้าไปคำเดียวทีเดียว มันแบบว่าฟินมากจริงๆ

จานฮอตฮิตติดปรอทที่คุณตี๋ได้กล่าวให้เราฟังว่า เป็นอีกหนึ่งจานที่เกือบทุกคนมาแล้วจะต้องสั่ง โดยเฉพาะคนญี่ปุ่น จะชอบทานจานนี้กันเป็นพิเศษ มีชื่อว่า “Miso Pork Steak“ (220 thb) หมูมิโซะ ที่เลือกใช้เนื้อหมูส่วนสันคอ ที่ผ่านกระบวนการ Sous Vide มามากกว่า 30 ชั่วโมง ทำให้คงความกรอบและจุ้ยส์ของตัวเนื้อหมูไว้ได้เป็นอย่างดี เมื่อทานคู่กับซอสมิโซะสูตรเฉพาะของคุณตี๋ ทำให้เราไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงถูกใจหลายคนนัก

ปิดท้ายด้วยจานที่เราชอบเป็นพิเศษ ที่เสมือนนำเมนูโปรดทุกอย่างของเรามารวมไว้ในจานเดียวกัน ที่ยังไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน “Crispy Nooddles with Prawns and Thick Egg Gravy“ (180 thb) ใหญ่กรอบราดหน้าไข่ข้นกุ้ง ราดหน้าธรรมดาที่ไม่ธรรมดาทั้งหน้าตาและรสชาติ เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าไข่ข้นมันจะเข้ากันได้ดีกับราดหน้าถึงเพียงนี้ แถมขนาดที่ให้มาก็คือแบ่งทานได้ 2 คนสบายๆ

หลังจากได้ลิ้มลองครบหมดทุกจานแล้ว สิ่งแรกที่เข้ามาในใจเราเลยคือตอนแรกที่อ่านดูเมนู ก็แอบคิดว่าไม่น่าจะพิเศษอะไร บวกกับราคาที่ไม่สูงสามารถเข้าถึงได้หลายกลุ่มคน แต่พอคุณตี๋นำมาวางตรงหน้าแล้วคือเปลี่ยนความคิดเราไปเลย ด้วยการจัดจานทุกจานอย่างประณีต สร้างสรรค์ กับรสชาติที่ไม่ธรรมดาเหมือนหลุดมาจากในโรงแรม ทำให้เราต้องหันไปคุยกับคุณตี๋ทันที ทำให้ได้รู้ว่าคุณตี๋เคยเป็นเชฟในโรงแรมมาก่อนสมัยที่ไปเรียนอยู่ที่เมืองนอกอยู่หลายปี ทำให้มีประสบการณ์ที่สามารถรังสรรค์อาหารธรรมดาให้ดูไม่ธรรมดา ยิ่งแลกเปลี่ยนบทสนทนาไปเรื่อยๆก็ทำให้เราได้รับรู้ถึงความหลงใหลและมีความสุขในการทำอาหารของคุณตี๋จริงๆ

สุดท้ายเราแอบกระซิบนิดนึงว่าในช่วงสถานการณ์ปกติ ทางร้านมีให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์หลากหลายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ สาเก หรือว่าไวน์ สั่งอาหารมาทานคู่กันฟินๆแน่นอน